ลมหนาวพัดมาแล้ว (และกำลังจะพัดผ่านในอีกไม่นาน) หลายคนนึกถึงดอกไม้สวยสดใสอีกหลายคนคิดถึงทะเลหมอกในฝันหลายคนเพียงอยากออกเดินทางไปสัมผัสความงามในที่สักแห่งไม่ว่ายังไงเจ๊ว่าในที่อากาศกำลังหนาวๆมักมีความโรแมนติกอยู่ด้วยเสมอครั้งนี้เจ๊ขอพาออกนอกประเทศกันบ้างโดยรวบรวมเมืองอากาศดีและแสนโรแมนติกใกล้ๆบ้านเราเดินทางก็แสนง่ายมาให้เป็นตัวเลือกเผื่อใครอยากชวนคนข้างๆไปปักหมุดหยุดเวลาโรแมนติกกัน
มิงกะลาบา…มัณฑะเลย์เมียนมาร์
เมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมาร์ รองจากย่างกุ้ง อดีตคือเมืองหลวงสุดท้ายของระบอบกษัตริย์ก่อนที่พม่าจะถูกยึดครองโดยรัฐบาลอังกฤษ แม้จะมีรอยอดีตที่เจ็บช้ำอยู่ แต่ความงามของเมืองแห่งนี้ ก็ยังมีเสน่ห์ให้น่ายลอีกมากเลยล่ะ
– พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นราชวังไม้สักที่สวยงามที่สุดในเอเชีย แต่ความงามนั้นก็ถูกระเบิดจากทหารอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (น่าเสียดายเนอะ) จนเหลือทิ้งไว้เพียงกำแพงเมืองและหอคอยแต่รัฐบาลพม่าก็สร้างขึ้นใหม่โดยได้มีการสร้างให้เหมือนของเดิมมากที่สุดเราจึงได้เห็นความอลังการของพระราชวังไม้สักแห่งนี้อีกครั้ง
– พระตำหนักไม้สักชเวนานดอร์ หรือ วัดชเวนันดอร์ (Shwenandaw Monastery) ซึ่งเดิมคือส่วนหนึ่งของพระราชวังมัณฑะเลย์แม้กาลเวลาจะทำให้สีทองอร่ามตาของแผ่นทองจางลงไปจนมองแทบไม่เห็นแล้วแต่ลวดลายของงานแกะสลักยังคงสมบูรณ์สวยงามและดูมีมนต์ขลังนักล่ะ
– วัดพระมหามัยมุนี (Maha Myat Muni Paya) มี พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมียนมาร์ประดิษฐานอยู่ภายในเทียบกันง่ายๆกับบ้านเราก็พระแก้วมรกตนั่นเอง
– วัดกุโสดอว์ (Kuthodaw Temple) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามินดง เพื่อการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ มีการจารึกพระไตรปิฎกไว้บนหินอ่อนขนาดใหญ่ถึง 729 แผ่น จำนวนรวม 84,000 พระธรรมขันธ์ถือว่าเป็นการเก็บบันทึกยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเล่มที่ใหญ่ที่สุดเลยทีเดียว
– สะพานไม้สักอูเบ็ง (U Bein Bridge) ไฮไลท์สำคัญอีกแห่ง แนะนำว่าให้ควรเดินทางมาถึงที่นี่สักช่วงเวลาเย็นๆ สะพานไม้สักที่ยาวกว่าสองกิโมเมตรแห่งนี้ ทอดตัวข้ามผ่านเหนือทะเลสาบ ตองตะมาน (Tongthamon Lake) บริเวณนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบของผู้คนทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่รอมาชมพระอาทิตย์ตกดินท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายๆเหนือทะเลสาบบางคนก็นั่งรับลมเย็นๆพูดคุยกันอย่างออกรสสังเกตได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ้างก็นั่งตกปลาบ้างก็ล่องเรือรูปทรงคล้ายปีกนกลอยลำเก็บภาพกันอย่างสนุกสนานแต่ถ้าอยากจะภาพแสงสวยๆแนะนำว่าให้ล่องเรือก่อนพระอาทิตย์ตกสักนิดเราก็จะได้ภาพสะพานไม้อาบแสงสีทองทอดตัวยาวโดยมีตะวันดวงโตส่องแสงอยู่ด้านหลังรับรองว่านี่จะเป็นภาพพระอาทิตย์ตกอีกช็อตหนึ่งที่จะสร้างความประทับใจให้คุณไม่ลืมเลยล่ะ
แม้ว่าเมียนมาร์อาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่อยู่ในแผนการเดินทางของใครหลายคนแต่หากคุณชื่นชอบการท่องเที่ยวที่ไม่ต้องเร่งรีบละเมียดละไมกับการได้สัมผัสวิถีอันเป็นดั้งเดิมและชื่นชอบศิลปะโดยเฉพาะกับสถาปัตยกรรมด้านพุทธศาสนาเจ๊ว่าจูงมือคนข้างๆมาสโลว์ไลฟ์ที่นี่ก็เข้าทีนะ
ล้อมกรอบ
การเดินทางสู่มัณฑะเลย์ โดยทางเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งมีหลายสายการบินให้บริการบินตรง คือ สายการบินแอร์เอเชีย บินตรง ดอนเมือง – มัณฑะเลย์ www.airasia.com และ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรง สุวรรณภูมิ –มัณฑะเลย์ www.bangkokair.com
ซินจ่าว…ดาลัตเวียดนาม
เมืองดาลัต เวียดนาม หากเทียบเคียงละติจูดแล้วจะใกล้เคียงกับประจวบคีรีขันธ์ของบ้านเรา แต่ทว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร ท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่โอบล้อม ทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แถมยังมีต้นสนอยู่มากมาย ทะเลสาบสวยๆ อาคารบ้านเรือน โรงแรมสไตล์ฝรั่งเศส และเป็นแหล่งปลูกไม้ดอกไม้ผล ตลอดจนพืชผักเมืองหนาวที่ใหญ่สุดอีกแห่งของเวียดนาม ทั้งหมดมวลนี้ผสานรวมกัน ทำให้ดาลัตมีภูมิทัศน์แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในเวียดนาม กระทั่งหลายคนเรียกเมืองนี้ว่า เมืองแห่งรัก บ้าง ปารีสน้อย บ้าง เจ๊ว่า เหมาะนักล่ะสำหรับการมาสัมผัสสายลมหนาว
– ตลาดเช้าดาลัต (Cho Dalat) ที่นี่จะทำให้เราสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างดีเลยร้านค้าภายในตลาดจะมีทั้งร้านที่ตั้งเป็นการถาวรและแผงลอยชั่วคราวรวมไปถึงวางแบขายกะพื้นก็ยังมีสินค้าก็มีหลากชนิดไล่ตั้งแต่พืชผักผลไม้เมืองหนาวต่างๆบางชนิดก็เหมือนบ้านเราแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากเครื่องใช้เครื่องสอยรวมไปถึงสินค้าพื้นเมืองต่างๆและด้วยเพราะดาลัตเป็นเมืองหนาวทั้งพ่อค้าแม่ขายรวมไปถึงนักท่องเที่ยวก็ต่างใส่ชุดที่หลากสีสันดูรวมๆแล้วสดใสทีเดียวพอตกค่ำบริเวณโดยรอบตลาดก็จะเปลี่ยนเป็นไนท์มาร์เก็ตที่หนักไปทางขายอาหารคล้ายโต้รุ่งบ้านเราตั้งวางเรียงรายไปตามขั้นบันไดขึ้นลงตลาดมีทั้งเมนูปิ้งย่างและต้มอากาศหนาวๆแบบนี้ฟินกันเลยละ
– โบสถ์ดาลัต (Dalat Cathedral) โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเรียกเก๋ๆ อีกอย่างว่า โบสถ์กุ๊กไก่ เพราะมีสัญลักษณ์รูปไก่อยู่บนยอดวิหาร ตัวโบสถ์ตั้งโดดเด่นดูสง่าอยู่ริมถนน มีหอระฆังสูงถึง 14 เมตรภายในก็สูงโปร่งกว้างขวางดูมีมนต์ขลังสวยงามไปอีกแบบ
– ทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Huong Lake) ทะเลสาบกว้างใจกลางเมืองร่มรื่นด้วยทิวไม้นานาพรรณมีร้านอาหารและกาแฟให้เลือกนั่งเสพย์บรรยากาศสูดกลิ่นธรรมชาติและชมวิถีชีวิตของชาวดาลัตโดยเฉพาะยามเย็นทะเลสาบแห่งนี้เปรียบเสมือนจุดรวมพลเลยทีเดียวเพราะผู้คนนิยมมาวิ่งออกกำลังกายขี่จักรยานหรือปั่นเรือยางเล่นในทะเลสาบ
– สวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Gardens) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบซวนเฮือง สวนแห่งนี้เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ต้น รวมกว่า 300 สายพันธุ์ที่ผลัดกันเบ่งบานอวดโฉมความงามในช่วงเวลาต่างกันไปในรอบปีไม่ว่าคุณมาเยือนช่วงเดือนไหนก็ตามก็จะได้พบกับดอกไม้สวยๆให้ชมจนเพลินอย่างแน่นอน
– พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace) ที่ประทับของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ซึ่งก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ในปี 2469 ตั้งแต่ครั้งมีพระชนม์เพียง 12 พรรษาเท่านั้นตัวพระราชวังไม่ได้ใหญ่โตอลังการสักเท่าไหร่เป็นเพียงอาคารสีน้ำตาลอิฐซ่อนตัวอยู่กลางป่าสนอย่างกลมกลืนเท่านั้นอาจเพราะเป็นพระราชวังฤดูร้อนจึงสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ
– วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูงเป็นวัดนิกายเซนที่ใหญ่ที่สุดในดาลัตร่มรื่นไปด้วยทิวสนและสวนดอกไม้นานาพรรณที่ได้รับการดูแลอย่างดีหลังจากไหว้พระเสร็จแล้วคนส่วนใหญ่จึงมักมาถ่ายรูปกันเพลินเลยล่ะ
– Robin Hill ด้านหน้าของวัดตั๊กลัม มีกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวเชื่อมต่อไปยัง Robin Hill แห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นดาลัตได้เกือบทั้งเมือง ตลอดระยะเวลาที่กระเช้าเริ่มสูงขึ้น ความสวยงามของทัศนียภาพโดยรอบก็ทวีคูณขึ้นเช่นกัน เพราะได้เห็นวิวเมืองดาลัตกว้างไกลสุดสายตา แนวเทือกเขาที่โอบล้อมอยู่ ทิวป่าสนที่เรียงราย แปลงเกษตรกรรมของชาวบ้าน รวมไปถึงทะเลสาบเตวียนลาม (Tuyen Lam Lake) ทะเลสาบสวยกลางป่าสนอีกแห่ง สายลมเย็นๆ พัดผ่านตลอดเวลา แม้จะอยู่บนกระเช้าเพียงเวลา 15 นาทีเท่านั้น แต่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะสร้างความประทับใจน่าจดจำไปอีกนานเลยล่ะ
อีกหนึ่งเมืองเล็กๆ ที่ฉาบกลิ่นอายของธรรมชาติ อบอวลด้วยบรรยากาศโรแมนติก สถาปัตยกรรมที่งดงามแบบตะวันตก…หนาวนี้จูงมือคนรักมาเยือน ดาลัต เจ๊มั่นใจว่า รักของคุณจะหวานฉ่ำอย่างแน่นอน
ล้อมกรอบ
การเดินทางสู่เมืองดาลัต ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม มีสายการบิน Vietjet Air ให้บริการบินตรง สุวรรณภูมิ – ดาลัต ใช้เวลาเพียง 1.45 ชั่วโมงเท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.vietjetair.com
สบายดี…หลวงพระบางลาว
เมืองเล็กๆ อดีตราชธานีแห่งอาณาจักรล้านช้างแห่งนี้ ถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 2538 น่าสนใจตรงที่มรดกโลกแห่งอื่นอาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจงในโบราณสถานหรือพื้นที่ธรรมชาติเฉพาะส่วน แต่ หลวงพระบาง ทั้งเมืองได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักษ์รักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเชียงใต้อีกด้วย ส่วนตัวเจ๊เองเห็นภาพเมืองนี้จากหนังเรื่อง สบายดีหลวงพระบาง ปี 2551 จากนั้นเจ๊ก็ปักหมุดหมายที่จะมาเยือนเมืองนี้ให้ได้ ที่นี่มีแต่ความเงียบสงบน บ้านเรือนสวยงามสไตล์โคโลเนียลที่ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่สมัยอาณานิคม ธรรมชาติพิสุทธิ์ อบอุ่นด้วยรอยยิ้มและมิตรไมตรี…ไม่ผิดหวังจริงๆ
– พระบรมมหาราชวังหลวงพระบาง รวบรวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยการปกครองโดยกษัตริย์ของประเทศลาวไว้ค่อนข้างละเอียด ถือว่าเรียนรู้ประวัติศาสตร์สักนิดก่อนท่องเมืองในปัจจุบันกัน ด้านหน้าทางเข้าพระราชวัง มี หอหลวงพระบาง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ พระบาง พระพุทธรูปอันเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของเมืองหลวงพระบาง ประดิษฐานให้เราได้มีโอกาสสักการะกันอีกด้วย
– วัดเชียงทอง วัดเก่าแก่ที่มีศิลปะบนฝาผนังพระวิหารที่เราคุ้นตาจากสื่อท่องเที่ยวต่างๆนั่นคือภาพของต้นไม้ลวดลายอ่อนช้อยบนพื้นหลังสีแดงเข้มประดับประดาอย่างงดงามด้วยหินสีโทนสีดำถือเป็นความงดงามและยังคงไว้ซึ่งรูปแบบของศิลปะล้านช้างที่สมบูรณ์อย่างมากเลยล่ะ
– วัดวิชุนราช หรือวัดหมากโม เพราะรูปทรงของเจดีย์มีลักษณะเป็นโดมโค้งมนคล้ายดอกบัวหรือลูกแตงโมนั่นเองครับ วัดนี้เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางมีอายุมากกว่าห้าร้อยปีมาแล้ว ปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาโบราณวัตถุสำคัญๆ รวมไปถึงซุ้มประตูโขงในพระอุโบสถที่เป็นซุ้มประตูโขงที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอีกด้วย
– พระธาตุภูสี (พูสี) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังหลวงพระบางเลย พระธาตุภูสีโดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกลอยู่บนภูสูงที่ต้องเรียกเหงื่อด้วยการเดินขึ้นบันไดที่คดเคี้ยวไปมาตามไหล่เขาทั้งหมด 328 ขั้น เพื่อไปยังยอดสูงสุดอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุ ซึ่งมีสีทองสวยงามอร่ามตา นอกเหนือจากนั้นด้านบนนี้ยังเป็นจุดชม 360 องศาที่มองเห็นตัวเมืองได้โดยรอบเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขามีแม่น้ำสองสายเคียงคู่เหตุนี้จึงพ่วงตำแหน่งจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของหลวงพระบางอีกด้วย
– ใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งมีพระและสามเณรนับหลายร้อยรูปออกมาบิณฑบาตเป็นแถวยาวในยามเช้า เป็นภาพที่สวยงามและหาดูไม่ได้ง่ายๆ นัก
– ตลาดเช้า ซึ่งมีทั้งของสด ของป่า ผักต่างๆ ผลไม้ และสารพัดของท้องถิ่นมากมาย บางอย่างอาจทำให้นักท่องเที่ยวอย่างๆ เราชวนอึ้งได้ เช่น งู หนอน เป็นต้น แต่บรรยากาศก็เป็นไปอย่างคึกคัก เหมาะมากกับการมาเดินเก็บภาพไว้เป็นที่ระทึกจริงๆ เลย
– ถนนคนเดินถนนศรีสว่างวงศ์ ยามเย็นด้านหน้าพระบรมมหาราชวังหลวงพระบางจะเปลี่ยนเป็นตลาดมืดหรือถนนคนเดินที่ยาวมากกว่าหนึ่งกิโลเมตรเต็มไปด้วยสินค้ามากมายทั้งงานฝีมือศิลปะวัฒนธรรมแบบหลวงพระบางทั้งกระเป๋าผ้าลวดลายสวยงามรองเท้าผ้างานแฮนด์เมดโคมไฟและข้าวของเครื่องใช้จากกระดาษสาเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ไม้ภาพวาดจากศิลปินท้องถิ่นผ้าพื้นเมืองต่างๆสำหรับคนชอบชมและช้อปงานฝีมืออาจเป็นหนึ่งกิโลเมตรที่ใช้เวลาเดินมากกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่นอน
– น้ำตกกวางสี หรือ ตาดกวางสี น้ำตกที่มีหลายชั้นเหมือนน้ำตกเอราวัณบ้านเรา แต่ละชั้นมีความงามแตกต่างกันไป มีแอ่งน้ำสีฟ้าใสน่าลงเล่นอยู่เป็นระยะ ตลอดทางเดินชมน้ำตกอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่รอบด้าน พร้อมกับดอกไม้ป่าสีสันสดใส อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ชั้นบนสุดซึ่งเป็นไฮไลต์ของน้ำตกแห่งนี้มีความสูงถึง 70 เมตรม่านน้ำสวยใสตกกระทบพื้นด้านล่างกระเซ็นละอองความสดชื่นกระจายไปทั่วบริเวณเลยทีเดียว
หลวงพระบางไม่ใช่เมืองใหญ่ ไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างอลังการเป็นแลนด์มาร์ก แต่ทุกพื้นที่ของเมืองนี้กลับดูอบอุ่นมีเสน่ห์ เป็นเสน่ห์ที่ยากจะบอกต่อให้ชัดเจน คงเป็นเสน่ห์ที่มีแต่คนที่เดินทางมาเยือนด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้ หากไม่เชื่อ! ก็ต้องเก็บกระเป๋าแล้วมาหาคำตอบด้วยตัวเองแล้วล่ะ
ล้อมกรอบ
การเดินทางสู่หลวงพระบาง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว โดยทางเครื่องบินใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งสายการบินที่ให้บริการบินตรง คือ สายการบินแอร์เอเชีย www.airasia.com และ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส www.bangkokair.com
นมัสเต…อุดัยปูร์อินเดีย
เมืองอุดัยปูร์ หรืออุทัยปุระ แปลว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณ (เจ๊นึกถึงอุทัยธานีบ้านเราเลย) เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่ แต่ครบเครื่องเรื่องอารมณ์ชิลล์ เป็นเมืองเก่าที่มีอายุมาแล้วกว่าหกร้อยปี ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีทะเลสาบกว้างอย่าง ทะเลสาบพิโคลาเป็นทั้งแหล่งน้ำสำคัญและที่พักผ่อนหย่อนใจ และยังเคยไปอวดโฉมตัวเองใน James Bond ปี 1983 เรื่อง Octopussy จนใครหลายคนปักหมุดมาเยือนและขนานนามอุดัยปูร์ว่าเวนิสแห่งอินเดียเลยทีเดียว
อุดัยปูร์ มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่ไม่มากครับ และอยู่ไม่ไกลกันนัก เริ่มจากพระราชวังอุดัยปูร์ ล่องเรือทะเลสาบพิโคลา สักการะพระวิษณุที่วัดจักดิศ เดินเล่นที่ท่าน้ำหนุมาน สามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายๆ ทั้งปริมาณของรถราที่นี่ก็ไม่เยอะเท่าเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เสียงแตรจึงไม่ค่อยสนั่นหวั่นไหว สบายหูอยู่มากโขพ่อค้าแม่ขายเมืองนี้ก็ไม่เข้าชาร์ตหรือตามตื้อเหมือนเมืองอื่นๆ (อันนี้เจ๊ชอบมาก) ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องหนัง เสื้อผ้า กระเป๋าและข้าวของยวนใจอีกเพียบเลย การเที่ยวเมืองนี้ เน้นความชิลล์ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะริมทะเลสาบพิโคลา ที่ท่าน้ำหนุมาน (Hanuman Ghat) ได้เห็นทั้งวิถีชีวิตความเป็นไปของผู้คน แวะจิบคาเฟ่เก๋ๆ เพลินนักล่ะ
– พระราชวังอุดัยปูร์ (Udaipur City Palace) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2102 และมหาราชาองค์ต่อ ๆ มาก็มีการก่อสร้างต่อเติมขยายพระราชวังมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นพระราชวังที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียใต้ทั้งหมด แค่นี้ เจ๊ก็เดินขาลากแล้วล่ะ แต่ก็เพลินๆ เพราะวิวเมืองและทะเลสาบพิโคลาด้านล่างพระราชวังสวยจริงแบบไม่ต้องพึ่งแอพแต่งเติมใดๆ ปัจจุบันวังแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็น พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ที่เราได้เข้าชม และ โรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว ที่อยากเข้าพักต้องจ่ายหนักหน่อย (เอาไว้ถูกหวยก่อนค่อยว่ากันเนาะ)
– ทะเลสาบพิโคลา (Lake Pichola) สำหรับเจ๊แล้ว ยกให้ทะเลสาบพิโคลาเป็นพระเอกของเมืองนี้เลย เพราะทำให้บรรยากาศโดยรวมของเมืองนั้นดูผ่อนคลาย ล่องเรือชมบ้านเมืองที่สวยงามแปลกตาก็แสนชิลล์ และกลางทะเลสาบยังมี พระราชวังกลางน้ำที่เดิมชื่อว่าจักรนิวาศน์ (Jag Niwas) แต่ปัจจุบันเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ชื่อ Taj Lake Palace ซึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond ตอน Octopussy นั่นเอง
– วัดจักดิศ (Jagdish Temple) เป็นวัดฮินดูขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในอุดัยปูร์ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระวิษณุ ตามความเชื่อว่าเป็นผู้รักษาจักรวาล ในปี ค.ศ.1651 เป็นศิลปะตามแบบอินโด–อารยัน ส่วนที่ตะลึงมากคือ งานแกะสลักหินอ่อนเป็นรูปคนและสัตว์ต่างๆ รอบตัววิหาร ดูสวยงามและอลังการจริงๆ
ไฮไลท์สำคัญอีกอย่างคือ บรรดาร้านอาหารต่างๆ บนชั้นดาดฟ้าของบรรดาโรงแรมมากมายรอบๆ ทะเลสาบพิโคลา จะมองเห็นวิวยามเย็น แสงสวยๆ สะท้อนผืนน้ำทะเลสาบ โรงแรมและบ้านเรือนทั้งหลายก็เริ่มเปิดไฟ เป็นแสงสะท้อนน้ำที่สวยงามและโรแมนติกอย่างที่สุดเลยล่ะ เจ๊ฟันธง!!!
ล้อมกรอบ
การเดินทางสู่อุดัยปูร์ ยังไม่มีสายการบินตรงจากบ้านเรา ต้องบินไปยังเมืองชัยปุระ (Jaipur) หรือเมืองเดลี (Delhi) แล้วต่อเครื่องบินหรือรถไฟนอนไปยังอุดัยปูร์อีกที แต่บินไปยังเมืองชัยปุระจะใกล้กว่า และสามารถเที่ยวชัยปุระและอักรา (ทัชมาฮาล) ได้อย่างสะดวก สายการบินให้บริการบินตรงสู่งชัยปุระ เช่น แอร์เอเชีย www.airasia.com สายการบินไทยสไมล์ www.thaismileair.com